นิทานเวตาล (เรื่องที่ 10)


บทที่ 3 นิทานเวตาล (เรื่องที่ 10)

ผู้แต่ง

   นิทานเวตาล ฉบับนิพนธ์ พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ มีที่มาจากวรรณกรรมสันสกฤตของอินเดีย  โดยมีชื่อเดิมว่า เวตาลปัญจวิงศติ” ศิวทาสได้แต่งไว้ในสมัยโบราณ
                  ต่อมาได้มีผู้นำนิทานเวตาลทั้งฉบับภาษาสันสกฤตและภาษาฮินดีมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยร้อยเอก เซอร์ ริชาร์ด เอฟ. เบอร์ตัน ก็ได้นำมาแปลและเรียบเรียงแต่งแปลงเป็นสำนวนภาษาของตนเองให้คนอังกฤษอ่าน แต่ไม่ครบทั้ง 25 เรื่อง กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ได้ทรงแปลนิทานเวตาลจากฉบับของเบอร์ตัน จำนวน 9 เรื่อง และจากฉบับแปลสำนวนของ ซี. เอช. ทอว์นีย์   อีก 1 เรื่อง รวมเป็นฉบับภาษาไทยของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ 10 เรื่อง เมื่อ พ.ศ. 2461

                   นิทานเวตาลเป็นนิทานที่มีลักษณะเป็นนิทานซับซ้อนนิทาน คือ มีนิทานเรื่องย่อยซ้อนอยู่ในนิทานเรื่องใหญ่




นิทานเรื่องที่ ๑๐ ท้าวมหาพล พระราชาแห่งกรุงธรรมปุระมีมเหสีที่ยังดูสาว เทียบกับพระธิดาแล้วก็ราวพี่น้อง เมื่อเกิดสงครามท้าวมหาพลได้พานางทั้งสองหนีไป ผ่านหมู่บ้านภิลล์ซึ่งเป็นหมู่บ้านโจร เกิดการต่อสู้กัน ท้าวมหาพลสิ้นพระชนม์ นางทั้งสองหนีไปได้ ฝ่ายพระราชาจันทรเสรกับพระราชบุตรทรงม้าล่าสัตว์ไปตามแนวป่า ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าสตรีสองคนจึงทรงตกลงกันว่าพระราชาเลือกนางผู้มีรอยเท้าใหญ่ พระราชบุตรจะเลือกนางผู้มีรอยเท้าเล็กมาเป็นชายา ครั้งเสด็จไปพบพระมเหสีและพระธิดาแห่งท้าวมหาพลแล้วจึงทรงรับนางทั้งสองไปอภิเษก ปรากฎว่าพระราชาจัทรเสนอภิเษกกับพระธิดา และพระราชบุตรอภิเษกกับพระมเหสีแห่งท้าวมหาพล เล่าถึงเพียงนี้ เวตาลก็ตั้งปัญหาว่าบุตรธิดาที่เกิดแต่คู่อภิเษกทั้งสองคู่นี้จะนับญาติกันอย่างไร พระวิกรมาทิตย์ทรงตรึกตรองแต่ก็ไม่ทรงตอบประการใด ในที่สุดก็เสด็จนำเวตาลถึงป่าช้า ณ บริเวณประกอบพิธีของโยศีศานติศีล



ประวัติผู้แต่ง

            พระราชวงศ์เธอ    กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ทรงชำนาญด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ได้ทรงนิพนธ์หนังสือไว้มากมายโดยใช้นามแฝงว่า น.ม.ส. ซึ่งทรงเลือกจากตัวอักษรตัวหลังพยางค์ของพระนาม (พระองค์เจ้า) รัชนีแจ่มจรัส



ลักษณะคำประพันธ์

           นิทานเวตาล แต่งเป็นร้อยแก้ว    โดยนำทำนองเขียนร้อยแก้วของฝรั่งมาปรับเข้ากับสำนวนไทยได้อย่างกลมกลืน และไม่ทำให้เสียอรรถรส แต่กลับทำให้ภาษาไทยมีชีวิตชีวา จึงได้รับยกย่องเป็นสำนวนร้อยแก้วที่ใหม่ที่สุดในยุคนั้น เรียกว่า สำนวน น.ม.ส.” 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น